นี้คือเรื่องจริงในชีวิตของเราที่อยากเล่าให้เพื่อนๆที่กำลังท้อแท้ สิ้นหวัง ได้ลองอ่านดู หวังว่าจะ สร้างกำลังใจ แรงผลักดันให้เพื่อนๆได้ไม่มากก็น้อย เรื่องราวของเราเริ่มต้นจากคำว่า “ลำบาก” แต่เราเชื่อว่า “ความลำบากในวัยเด็ก ผลักดันให้เรามาถึงจุดนี้” ปัจจุบันเราเป็นเจ้าของกิจการธุรกิจออนไลน์ มีกลุ่มลูกค้าที่สนับสนุนและติดตามจำนวนมาก มีรายได้สามารถเลี้ยงดูตัวเอง และครอบครัวได้ ด้วยวัยเพียง 26 ปี มีเงินเก็บ 8 หลัก มีบ้าน 2 หลัง มีรถยนต์ 4 คัน ใครจะไปรู้ว่าชีวิตเรากว่าจะมาถึงทุกวันนี้มันไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่มันเริ่มจากติดลบ ด้วยเงินทุนก้อนแรกที่ไปหายืมเค้ามาเพียง 5,000 บาท
เรื่องราวที่เราจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ เราขอเล่าย้อนหลังชีวิตตั้งแต่วัยเด็กนะคะ เพราะสำหรับเราแล้วทุกสิ่ง ทุกอย่างมันเป็นแรงผลักดันให้มีวันนี้จริงๆ ไม่ใช่ดวง หรือโชคชะตา เราแค่อยากเล่าให้ฟัง ภาษาที่ใช้เขียน ทักษะการเขียนอาจจะไม่สละสลวย แต่ขอยืนยันว่าทุกบรรทัดที่เราเขียนเป็นเรื่องจริง ไม่มีการแต่งเติมเพื่ออรรธรสใดๆทั้งสิ้น
เราเป็นลูกสาวคนที่ 3 ของครอบครัว และมีพี่สาวอีก 2 คน เราเติบโตมาในครอบครัวที่จัดว่ายากจนและลำบาก พ่อรับราชการเป็นตำรวจเงินเดือนสมัยนั้นสตาร์ทหลักพัน เราทั้ง 3 พี่น้องอยู่บ้านพักตำรวจมาตั้งแต่เกิด แม่ชอบเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆไม่มีเงินถึงขนาดที่ รถพ่วงมาขายขนมถาด ลูกร้องอยากกิน แม่ต้องปิดบ้านหนี เพราะไม่มีเงินซื้อขนมให้ลูกกิน เรื่องนี้ฟังทีไรรู้สึกสะเทือนใจทุกที และคิดว่าถ้าวันนึงตัวเองจะมีลูกจะมีเมื่อพร้อมจริงๆ คนสมัยก่อนเวลาเค้าจะแต่งงานกันใช้ชีวิตด้วยกัน เค้าคิดกันน้อยมาก
ฐานะครอบครัวเริ่มดีขึ้นเมื่อแม่มาทำอาชีพขายหมู เริ่มเห็นเงิน เริ่มมีบ้านเป็นของตัวเอง ซักพักก็มีรถยนต์ และเริ่มซื้อบ้านในตัวเมืองเพิ่มอีก 1 หลัง เพื่อปูทางไว้ในอนาคต เพราะเมื่อลูกโตจะต้องย้ายไปเรียนโรงเรียนในตัวเมือง เนื่องจากที่ที่ฉันอยู่เค้าเรียกว่าต่างอำเภอหรือชนบท
เหมือนว่าความเป็นอยู่ในครอบครัวกำลังจะดีขึ้นมาก แต่ก็ต้องมาพบกับความลำบากแบบสุดๆอีกครั้งเมื่อพ่อเริ่มติด การพนัน ถึงขั้นหมดบ้านเป็นหลัง หมดรถเป็นคัน และเป็นช่วงที่อาก๋ง หรือพ่อของแม่มาเสีย ทำให้แม่เลิกทำกิจการขายหมูเพราะไม่มีคนขึ้นหมูให้และรู้สึกว่ามันบาปกรรม
จากนั้นแม่ก็ลุยขายก๋วยเตี๋ยวเลี้ยงครอบครัว นั่นคือ ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ครอบครัวเรากลับมาลำบากอีกครั้ง แม่ขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดโดยมีลูกทั้งสามคนช่วยตลอด ตอนนั้นเรียนอยู่ระดับประถมกันหมด ยอมรับว่าชีวิตในวัยเด็กหายไป เพราะแต่ละวันหมดไปกับการช่วยแม่ขายก๋วยเตี๋ยว เนื่องจากแม่เป็นคนทำอาหารเก่งและอร่อย จึงมีลูกค้าประจำจำนวนมาก ลูกๆทั้ง 3 คนก่อนไปเรียนจะต้องช่วยตั้งร้านเตรียมของ ทำเครื่องปรุง กลับจากโรงเรียนก็ต้องช่วยแม่เก็บร้าน ล้างชามจำนวนมากๆ ยอมรับเลยค่ะว่าลำบากตั้งแต่เด็กจริงๆ ไม่มีเวลาเล่นกับเพื่อนเลย แต่เราว่าเราโชคดีที่มีแม่ขยันมาก ลำพังเงินเดือนพ่อไม่ต้องพูดถึง มันน้อยจนไม่เคยตกมาถึงลูก สิ่งที่ลูกได้จากพ่อคือได้เรียนฟรีเพราะเบิกได้ กลายเป็นแม่ต้องเป็นคนลำบากหาเลี้ยงครอบครัว
ที่เราบอกว่าโชคดีที่มีแม่ขยันมาก มันเป็นความโชคดีจริงๆ เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้และซึมซับอะไรหลายๆอย่างมาจากแม่ เรายังจำได้ดีว่า มีครั้งนึงที่พ่อต้องไปทำงานต่างจังหวัด 2 คืน ด้วยความขยันของแม่บวกกับความไม่ค่อยมีเงิน แม่เลยชวนลูกๆออกไปลำบากแต่เช้ามืด ด้วยการเข็นรถเข็นที่บรรทุกของมากมาย เดินไปตลาดนัดกันตามประสาแม่ลูกเพื่อขายก๋วยเตี๋ยวให้กับคนที่มาจ่ายตลาดในตอนเช้า อย่างที่บอกแม่เป็นคนทำอาหารอร่อย ไปขายที่ไหนก็มีแต่คนติดใจค่ะ เงินที่ได้มามันไม่เยอะหรอกค่ะ แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ได้อะไร มันทำให้เรานิสัยเหมือนแม่ ทุกวันนี้เราคิดเสมอว่า สำหรับเรานะคะ เงินหาไม่ยากเลย ถ้าเราขยัน มีวิธีหาเงินตั้งมากมายจริงๆ
มาถึงจุดเปลี่ยนของครอบครัว เมื่อโรงงานขนาดใหญ่ได้ถูกย้ายออกไป ทำให้คนงานและคนอาศัยลดน้อยลง ตอนนั้นเป็นช่วงที่พ่อต้องย้ายเข้ามารับราชการในตัวเมือง แม่เลยลองย้ายมาตามพ่อ และลุยขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในตัวเมือง โดยที่แม่ได้ฝากลูกทั้งสามคนไว้อยู่กับย่า ลูกยังไม่ได้ย้ายตามมาเพราะต้องเรียนหนังสือที่เดิมอยู่ ตอนนั้นเราเองก็รู้สึกลำบากมาก เพราะเงินที่แม่ทิ้งไว้ให้อาทิตย์ละ 100 บาทต่อคน คือมันไม่พอกินจริงๆสำหรับเด็กวัยเรียน แต่เมื่อคิดกลับกันแม่ลำบากกว่ามาก เพราะแม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวโดยที่ไม่มีลูกไปช่วย แต่แม่ก็มีแวะมาหาลูกๆบ้าง ทุกครั้งที่แวะมาก็จะฝากพวกตีนเป็ด เครื่องใน ที่เหลือจากการขายก๋วยเตี๋ยวมาให้ลูกเอาไปขาย พวกเรา 3 พี่น้องจะช่วยกันแบ่งใส่เป็นถุงๆมัดให้พองๆ และไปตั้งโต๊ะขายที่ตลาดถุงละ 20 บาท คนเดินผ่านไปผ่านมาสงสารก็ช่วยซื้อ ก็เลยมีรายได้อีกทางนึงไว้สำหรับซื้อขนม ไม่เช่นนั้นจะลำบากมากๆ ถึงขั้นที่บางวันต้องซื้อมาม่าห่อละ 5 บาท 1 ห่อ มากินกับข้าวที่หุงเอาไว้
สุดท้ายพวกเราสามพี่น้องก็ย้ายออกมาอยู่กันเป็นครอบครัว และมาเรียนต่อในเมือง เพื่อช่วยแม่ขายก๋วยเตี๋ยวที่บ้านพักตำรวจเหมือนเดิมค่ะ ตอนนั้นฉันขึ้นชั้นป. 5 พอดี โรงเรียนอยู่ใกล้ร้านของแม่พอดี พักเที่ยงก็ได้สิทธิพิเศษเดินออกมากินข้าวที่ร้านแม่และกลับไปเรียนต่อได้ค่ะ ธุรกิจขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดของแม่เป็นไปได้ด้วยดี มีชื่อเสียง และมีลูกค้าขาประจำมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำต่อ เพราะทางห้างสรรพสินค้าเค้าจะเปลี่ยนเป็นระบบคูปอง ซึ่งขายยิ่งขายดีเท่าไหร่ ทางห้างก็ได้มากเท่านั้น จากที่เคยขายแบบอิสระ เลยรู้สึกถึงการโดนเอาเปรียบ เลยเป็นจุดจบของการขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดค่ะ
มาถึงอาชีพสุดท้ายของครอบครัวเรา อย่างที่บอกนะคะ คนขยันไม่มีวันอดตายง่ายๆ ด้วยความที่พ่อเป็นตำรวจ รู้จักคนกว้างขวาง เลยไปคุยขอที่ทางให้แม่ สุดท้ายครอบครัวเราก็ทำอาชีพค้าขายเหมือนเดิม นั่นคือขายผลไม้ตามฤดูกาล โดยเฉพาะขายทุเรียน คืออาชีพหลักที่ส่งลูกเรียนจบทุกวันนี้ค่ะ ร้านเราขายดีมาก ลูกๆทั้ง 3 คนลำบาก ปอกทุเรียนเป็นตั้งแต่อายุ 10 ต้นๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของทางร้านไปเลย ตอนนั้นยอมรับว่าเป็นช่วงชีวิตที่เหนื่อยที่สุด ลำบาก ตากแดด ตากฝน นอนดึก และต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน งานขายผลไม้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะคะ ต้องยกลังผลไม้ที่หนักกว่า 22 โล ต้องตั้งร้าน ซึ่งเราลำบากตั้งแต่ตอนเด็กๆจริงๆ เคยน้อยใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเพื่อนแต่ละคนสบายใจ ไม่เห็นต้องทำงานหนักแบบนี้เลย แต่เราต้องลำบาก ทำงานหนัก ไปโรงเรียนเพื่อนก็ล้อ ถามว่าอายมั้ย ถ้าความรู้สึกตอนนั้นจริงๆคืออายมากค่ะ อาจจะเป็นเพราะเราคิดว่าวัยเรายังไม่ถึงเวลาที่ต้องมาขายของทำงานหนักแบบนี้ ควรเป็นวัยที่ได้เรียนหนังสือเที่ยวเล่นกับเพื่อนมากกว่า
มาต่อกันที่ชีวิตมหาลัยกันเลยนะคะ ใกล้ความจริงเข้ามาแล้วค่ะ เราเลือกที่จะเข้ามาเรียนต่อที่กทม. เพียงคนเดียว ในขณะที่เพื่อนสนิทและเพื่อนส่วนใหญ่เลือกเรียนในมหาวิทยาลัยประจำจำหวัด ส่วนเราเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิต โดยที่ทางบ้านไม่เห็นด้วยเลย เพราะเป็นห่วง แต่เรายอมรับว่านี่คือการดื้อครั้งแรกในชีวิตวัยรุ่นเลย คือเราจะเรียนให้ได้ ยอมกู้เงินเรียน ยอมนั่งรถทัวร์ไปกลับในช่วงแรกเพราะไม่มีเงินเช่าหอพัก เงินค่าประกัน แต่สุดท้ายก็ได้หอพักหญิงที่แบบถูกๆเก่าๆ ตอนนั้นแม่ให้เงินเราใช้อาทิตย์ละ 1000 บาท และช่วยเราออกค่าหอพักเดือนละ 2000 บาท ส่วนเกินที่เหลืออีกเกือบ 2000 เราต้องเป็นคนเก็บจากเงินอาทิตย์มาจ่ายค่าหอพักเอง ลำบากอีกแล้วชีวิตเรา คือแบบตอนนั้นสุดๆจริงๆ หยอดน้ำ 1 บาทกิน กินข้าวตามร้านแถวมหาลัยได้แค่วันละมื้อ และมื้อค่ำคือต้องพึ่ง มาม่า โจ๊กคนอร์ หรือบางวันก็ต้มข้าวต้มในหม้อหุงข้าวกินกับซีอิ๊ว เพื่อนก็ยังไม่ค่อยมี คือตอนนั้นบอกเลยว่าเรานอนร้องไห้บ่อยมากๆแต่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เพราะนิสัยเราคือ “ เป็นคนที่เอาตัวรอดได้ “ และทุกคนก็มองเห็นว่าเป็นแบบนั้น
ที่บ้านเราก็มีปัญหาในการโอนเงินแต่ละอาทิตย์ คือโอนช้า โอนไม่เคยตรงเวลา บางวันคือเงินเราหมดแล้วจริงๆ นั่งรอความหวังกับเงินอาทิตย์ใหม่ กลายเป็นเราต้องไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ตอนนั้นเราต้องคอยโทรถามตลอดว่าโอนรึยัง บางครั้งนัดว่าจะโอนกี่โมง เราเดินจากหอไปตั้งไกลเพื่อไปกดตัง สุดท้ายก็ยังไม่โอนเงินมาให้เราเพราะขายของยุ่ง คือความรู้สึกตอนนั้นมันเฟลมากๆ แต่มันเป็นสิ่งที่เราเลือกเองเราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้
พอช่วงซักปี 2 – ปี 4 เราก็มีเพื่อนสนิทแล้ว ย้ายมาอยู่หอที่ดีกว่าเดิม ทีนี้อยู่หน้ามหาวิทยาลัยเลย เราขอเงินได้มากขึ้นเป็นอาทิตย์ละ 1500 และค่าหอ 3000 (ส่วนเกินจ่ายเองอีกแล้ว) ในขณะที่เพื่อนๆเราได้เงินใช้กันเดือนละ 12000-15000 ไม่รวมค่าหอ แต่ชีวิตเรา 4 ปี ให้ลำบากแค่ไหนก็ไม่เคยยืมเงินเพื่อนเลย เราอยู่ได้และเอาตัวรอดได้กับเงินแค่นี้ ไม่ต้องแปลกใจเลยเวลาที่เพื่อนๆชวนเราไปเดินห้างทำไมเราถึงเดินเล่นเฉยๆไม่ค่อยซื้ออะไร และทำไมเวลาเพื่อนๆกินอาหารฟาสฟู้ดในห้างเราถึงนั่งเฉยๆไม่ค่อยได้กิน นานๆๆทีถึงจะมีโอกาสได้กิน เพราะงบที่เราได้ เราไม่สะดวกที่จะกินทีนึงมื้อละ 160-300 บาท เวลาที่เราไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วต้องหารกัน เศษเงินแค่ 2 บาท 5 บาท เรายังต้องทวงเพื่อน เราไม่สนใจใครจะนินทายังไง เพราะเรามีน้อย เงินแค่ไหนสำหรับเราก็สำคัญ และเราเองก็ไม่เคยเอาเปรียบใคร
จนในที่สุดเราก็เรียนจบในระยะเวลา 4 ปีเป๊ะ ตอนนั้นเราอายุ 22 ปี (เดี๋ยวมาเล่าต่อนะคะ จะเข้มข้นช่วงเรียนจบเนี่ยแหละค่ะ)
อายุ 26 ปี กับเงินเก็บในบัญชี 8 หลัก ชีวิตไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่เริ่มต้นจากติดลบ ด้วยเงินที่ยืมมา 5000 บาท
เรื่องราวที่เราจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ เราขอเล่าย้อนหลังชีวิตตั้งแต่วัยเด็กนะคะ เพราะสำหรับเราแล้วทุกสิ่ง ทุกอย่างมันเป็นแรงผลักดันให้มีวันนี้จริงๆ ไม่ใช่ดวง หรือโชคชะตา เราแค่อยากเล่าให้ฟัง ภาษาที่ใช้เขียน ทักษะการเขียนอาจจะไม่สละสลวย แต่ขอยืนยันว่าทุกบรรทัดที่เราเขียนเป็นเรื่องจริง ไม่มีการแต่งเติมเพื่ออรรธรสใดๆทั้งสิ้น
เราเป็นลูกสาวคนที่ 3 ของครอบครัว และมีพี่สาวอีก 2 คน เราเติบโตมาในครอบครัวที่จัดว่ายากจนและลำบาก พ่อรับราชการเป็นตำรวจเงินเดือนสมัยนั้นสตาร์ทหลักพัน เราทั้ง 3 พี่น้องอยู่บ้านพักตำรวจมาตั้งแต่เกิด แม่ชอบเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆไม่มีเงินถึงขนาดที่ รถพ่วงมาขายขนมถาด ลูกร้องอยากกิน แม่ต้องปิดบ้านหนี เพราะไม่มีเงินซื้อขนมให้ลูกกิน เรื่องนี้ฟังทีไรรู้สึกสะเทือนใจทุกที และคิดว่าถ้าวันนึงตัวเองจะมีลูกจะมีเมื่อพร้อมจริงๆ คนสมัยก่อนเวลาเค้าจะแต่งงานกันใช้ชีวิตด้วยกัน เค้าคิดกันน้อยมาก
ฐานะครอบครัวเริ่มดีขึ้นเมื่อแม่มาทำอาชีพขายหมู เริ่มเห็นเงิน เริ่มมีบ้านเป็นของตัวเอง ซักพักก็มีรถยนต์ และเริ่มซื้อบ้านในตัวเมืองเพิ่มอีก 1 หลัง เพื่อปูทางไว้ในอนาคต เพราะเมื่อลูกโตจะต้องย้ายไปเรียนโรงเรียนในตัวเมือง เนื่องจากที่ที่ฉันอยู่เค้าเรียกว่าต่างอำเภอหรือชนบท
เหมือนว่าความเป็นอยู่ในครอบครัวกำลังจะดีขึ้นมาก แต่ก็ต้องมาพบกับความลำบากแบบสุดๆอีกครั้งเมื่อพ่อเริ่มติด การพนัน ถึงขั้นหมดบ้านเป็นหลัง หมดรถเป็นคัน และเป็นช่วงที่อาก๋ง หรือพ่อของแม่มาเสีย ทำให้แม่เลิกทำกิจการขายหมูเพราะไม่มีคนขึ้นหมูให้และรู้สึกว่ามันบาปกรรม
จากนั้นแม่ก็ลุยขายก๋วยเตี๋ยวเลี้ยงครอบครัว นั่นคือ ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ครอบครัวเรากลับมาลำบากอีกครั้ง แม่ขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดโดยมีลูกทั้งสามคนช่วยตลอด ตอนนั้นเรียนอยู่ระดับประถมกันหมด ยอมรับว่าชีวิตในวัยเด็กหายไป เพราะแต่ละวันหมดไปกับการช่วยแม่ขายก๋วยเตี๋ยว เนื่องจากแม่เป็นคนทำอาหารเก่งและอร่อย จึงมีลูกค้าประจำจำนวนมาก ลูกๆทั้ง 3 คนก่อนไปเรียนจะต้องช่วยตั้งร้านเตรียมของ ทำเครื่องปรุง กลับจากโรงเรียนก็ต้องช่วยแม่เก็บร้าน ล้างชามจำนวนมากๆ ยอมรับเลยค่ะว่าลำบากตั้งแต่เด็กจริงๆ ไม่มีเวลาเล่นกับเพื่อนเลย แต่เราว่าเราโชคดีที่มีแม่ขยันมาก ลำพังเงินเดือนพ่อไม่ต้องพูดถึง มันน้อยจนไม่เคยตกมาถึงลูก สิ่งที่ลูกได้จากพ่อคือได้เรียนฟรีเพราะเบิกได้ กลายเป็นแม่ต้องเป็นคนลำบากหาเลี้ยงครอบครัว
ที่เราบอกว่าโชคดีที่มีแม่ขยันมาก มันเป็นความโชคดีจริงๆ เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้และซึมซับอะไรหลายๆอย่างมาจากแม่ เรายังจำได้ดีว่า มีครั้งนึงที่พ่อต้องไปทำงานต่างจังหวัด 2 คืน ด้วยความขยันของแม่บวกกับความไม่ค่อยมีเงิน แม่เลยชวนลูกๆออกไปลำบากแต่เช้ามืด ด้วยการเข็นรถเข็นที่บรรทุกของมากมาย เดินไปตลาดนัดกันตามประสาแม่ลูกเพื่อขายก๋วยเตี๋ยวให้กับคนที่มาจ่ายตลาดในตอนเช้า อย่างที่บอกแม่เป็นคนทำอาหารอร่อย ไปขายที่ไหนก็มีแต่คนติดใจค่ะ เงินที่ได้มามันไม่เยอะหรอกค่ะ แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ได้อะไร มันทำให้เรานิสัยเหมือนแม่ ทุกวันนี้เราคิดเสมอว่า สำหรับเรานะคะ เงินหาไม่ยากเลย ถ้าเราขยัน มีวิธีหาเงินตั้งมากมายจริงๆ
มาถึงจุดเปลี่ยนของครอบครัว เมื่อโรงงานขนาดใหญ่ได้ถูกย้ายออกไป ทำให้คนงานและคนอาศัยลดน้อยลง ตอนนั้นเป็นช่วงที่พ่อต้องย้ายเข้ามารับราชการในตัวเมือง แม่เลยลองย้ายมาตามพ่อ และลุยขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในตัวเมือง โดยที่แม่ได้ฝากลูกทั้งสามคนไว้อยู่กับย่า ลูกยังไม่ได้ย้ายตามมาเพราะต้องเรียนหนังสือที่เดิมอยู่ ตอนนั้นเราเองก็รู้สึกลำบากมาก เพราะเงินที่แม่ทิ้งไว้ให้อาทิตย์ละ 100 บาทต่อคน คือมันไม่พอกินจริงๆสำหรับเด็กวัยเรียน แต่เมื่อคิดกลับกันแม่ลำบากกว่ามาก เพราะแม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวโดยที่ไม่มีลูกไปช่วย แต่แม่ก็มีแวะมาหาลูกๆบ้าง ทุกครั้งที่แวะมาก็จะฝากพวกตีนเป็ด เครื่องใน ที่เหลือจากการขายก๋วยเตี๋ยวมาให้ลูกเอาไปขาย พวกเรา 3 พี่น้องจะช่วยกันแบ่งใส่เป็นถุงๆมัดให้พองๆ และไปตั้งโต๊ะขายที่ตลาดถุงละ 20 บาท คนเดินผ่านไปผ่านมาสงสารก็ช่วยซื้อ ก็เลยมีรายได้อีกทางนึงไว้สำหรับซื้อขนม ไม่เช่นนั้นจะลำบากมากๆ ถึงขั้นที่บางวันต้องซื้อมาม่าห่อละ 5 บาท 1 ห่อ มากินกับข้าวที่หุงเอาไว้
สุดท้ายพวกเราสามพี่น้องก็ย้ายออกมาอยู่กันเป็นครอบครัว และมาเรียนต่อในเมือง เพื่อช่วยแม่ขายก๋วยเตี๋ยวที่บ้านพักตำรวจเหมือนเดิมค่ะ ตอนนั้นฉันขึ้นชั้นป. 5 พอดี โรงเรียนอยู่ใกล้ร้านของแม่พอดี พักเที่ยงก็ได้สิทธิพิเศษเดินออกมากินข้าวที่ร้านแม่และกลับไปเรียนต่อได้ค่ะ ธุรกิจขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดของแม่เป็นไปได้ด้วยดี มีชื่อเสียง และมีลูกค้าขาประจำมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำต่อ เพราะทางห้างสรรพสินค้าเค้าจะเปลี่ยนเป็นระบบคูปอง ซึ่งขายยิ่งขายดีเท่าไหร่ ทางห้างก็ได้มากเท่านั้น จากที่เคยขายแบบอิสระ เลยรู้สึกถึงการโดนเอาเปรียบ เลยเป็นจุดจบของการขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดค่ะ
มาถึงอาชีพสุดท้ายของครอบครัวเรา อย่างที่บอกนะคะ คนขยันไม่มีวันอดตายง่ายๆ ด้วยความที่พ่อเป็นตำรวจ รู้จักคนกว้างขวาง เลยไปคุยขอที่ทางให้แม่ สุดท้ายครอบครัวเราก็ทำอาชีพค้าขายเหมือนเดิม นั่นคือขายผลไม้ตามฤดูกาล โดยเฉพาะขายทุเรียน คืออาชีพหลักที่ส่งลูกเรียนจบทุกวันนี้ค่ะ ร้านเราขายดีมาก ลูกๆทั้ง 3 คนลำบาก ปอกทุเรียนเป็นตั้งแต่อายุ 10 ต้นๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของทางร้านไปเลย ตอนนั้นยอมรับว่าเป็นช่วงชีวิตที่เหนื่อยที่สุด ลำบาก ตากแดด ตากฝน นอนดึก และต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน งานขายผลไม้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะคะ ต้องยกลังผลไม้ที่หนักกว่า 22 โล ต้องตั้งร้าน ซึ่งเราลำบากตั้งแต่ตอนเด็กๆจริงๆ เคยน้อยใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเพื่อนแต่ละคนสบายใจ ไม่เห็นต้องทำงานหนักแบบนี้เลย แต่เราต้องลำบาก ทำงานหนัก ไปโรงเรียนเพื่อนก็ล้อ ถามว่าอายมั้ย ถ้าความรู้สึกตอนนั้นจริงๆคืออายมากค่ะ อาจจะเป็นเพราะเราคิดว่าวัยเรายังไม่ถึงเวลาที่ต้องมาขายของทำงานหนักแบบนี้ ควรเป็นวัยที่ได้เรียนหนังสือเที่ยวเล่นกับเพื่อนมากกว่า
มาต่อกันที่ชีวิตมหาลัยกันเลยนะคะ ใกล้ความจริงเข้ามาแล้วค่ะ เราเลือกที่จะเข้ามาเรียนต่อที่กทม. เพียงคนเดียว ในขณะที่เพื่อนสนิทและเพื่อนส่วนใหญ่เลือกเรียนในมหาวิทยาลัยประจำจำหวัด ส่วนเราเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิต โดยที่ทางบ้านไม่เห็นด้วยเลย เพราะเป็นห่วง แต่เรายอมรับว่านี่คือการดื้อครั้งแรกในชีวิตวัยรุ่นเลย คือเราจะเรียนให้ได้ ยอมกู้เงินเรียน ยอมนั่งรถทัวร์ไปกลับในช่วงแรกเพราะไม่มีเงินเช่าหอพัก เงินค่าประกัน แต่สุดท้ายก็ได้หอพักหญิงที่แบบถูกๆเก่าๆ ตอนนั้นแม่ให้เงินเราใช้อาทิตย์ละ 1000 บาท และช่วยเราออกค่าหอพักเดือนละ 2000 บาท ส่วนเกินที่เหลืออีกเกือบ 2000 เราต้องเป็นคนเก็บจากเงินอาทิตย์มาจ่ายค่าหอพักเอง ลำบากอีกแล้วชีวิตเรา คือแบบตอนนั้นสุดๆจริงๆ หยอดน้ำ 1 บาทกิน กินข้าวตามร้านแถวมหาลัยได้แค่วันละมื้อ และมื้อค่ำคือต้องพึ่ง มาม่า โจ๊กคนอร์ หรือบางวันก็ต้มข้าวต้มในหม้อหุงข้าวกินกับซีอิ๊ว เพื่อนก็ยังไม่ค่อยมี คือตอนนั้นบอกเลยว่าเรานอนร้องไห้บ่อยมากๆแต่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เพราะนิสัยเราคือ “ เป็นคนที่เอาตัวรอดได้ “ และทุกคนก็มองเห็นว่าเป็นแบบนั้น
ที่บ้านเราก็มีปัญหาในการโอนเงินแต่ละอาทิตย์ คือโอนช้า โอนไม่เคยตรงเวลา บางวันคือเงินเราหมดแล้วจริงๆ นั่งรอความหวังกับเงินอาทิตย์ใหม่ กลายเป็นเราต้องไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ตอนนั้นเราต้องคอยโทรถามตลอดว่าโอนรึยัง บางครั้งนัดว่าจะโอนกี่โมง เราเดินจากหอไปตั้งไกลเพื่อไปกดตัง สุดท้ายก็ยังไม่โอนเงินมาให้เราเพราะขายของยุ่ง คือความรู้สึกตอนนั้นมันเฟลมากๆ แต่มันเป็นสิ่งที่เราเลือกเองเราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้
พอช่วงซักปี 2 – ปี 4 เราก็มีเพื่อนสนิทแล้ว ย้ายมาอยู่หอที่ดีกว่าเดิม ทีนี้อยู่หน้ามหาวิทยาลัยเลย เราขอเงินได้มากขึ้นเป็นอาทิตย์ละ 1500 และค่าหอ 3000 (ส่วนเกินจ่ายเองอีกแล้ว) ในขณะที่เพื่อนๆเราได้เงินใช้กันเดือนละ 12000-15000 ไม่รวมค่าหอ แต่ชีวิตเรา 4 ปี ให้ลำบากแค่ไหนก็ไม่เคยยืมเงินเพื่อนเลย เราอยู่ได้และเอาตัวรอดได้กับเงินแค่นี้ ไม่ต้องแปลกใจเลยเวลาที่เพื่อนๆชวนเราไปเดินห้างทำไมเราถึงเดินเล่นเฉยๆไม่ค่อยซื้ออะไร และทำไมเวลาเพื่อนๆกินอาหารฟาสฟู้ดในห้างเราถึงนั่งเฉยๆไม่ค่อยได้กิน นานๆๆทีถึงจะมีโอกาสได้กิน เพราะงบที่เราได้ เราไม่สะดวกที่จะกินทีนึงมื้อละ 160-300 บาท เวลาที่เราไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วต้องหารกัน เศษเงินแค่ 2 บาท 5 บาท เรายังต้องทวงเพื่อน เราไม่สนใจใครจะนินทายังไง เพราะเรามีน้อย เงินแค่ไหนสำหรับเราก็สำคัญ และเราเองก็ไม่เคยเอาเปรียบใคร
จนในที่สุดเราก็เรียนจบในระยะเวลา 4 ปีเป๊ะ ตอนนั้นเราอายุ 22 ปี (เดี๋ยวมาเล่าต่อนะคะ จะเข้มข้นช่วงเรียนจบเนี่ยแหละค่ะ)